DGB CLINIC
โดยปกติจะตอบกลับภายในไม่กี่ชั่วโมง
Greeting from DGB CLINIC, May I help you?
เริ่มแชท
 
 
 
 
              การเสริมคางในปัจจุบันค่อนข้างได้รับความนิยม โดยเฉพาะสาวๆ เพราะช่วยให้ใบหน้าดูเรียวยาว ดูเด็กลง  เสริมสร้างความมั่นใจให้กับใบหน้า การทำคางสามารถปรับปรุงแก้ไขใบหน้าให้ได้สัดส่วน ช่วยให้โครงหน้าเปลี่ยนไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม คางถอย เป็นต้น ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้วคนไทย รวมถึงคนเอเชียจำนวนมากมักจะมีลักษณะคางที่สั้นผิดรูป ส่งผลให้ใบหน้าดูสั้นไม่สมส่วน
 
 
การเสริมคาง เหมาะกับใครบ้าง?

           ปกติแล้วการเสริมคางนั้น เหมาะสำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย  คนไข้ที่มีปัญหาใบหน้าสั้น คางถอย คางตัด คางบุ๋ม ต้องการแก้ไขปัญหาคาง ให้สวยขึ้น คนที่มีใบหน้ากลมอยากปรับรูปหน้าให้ยาวขึ้น การเสริมคางจะช่วยทำให้ใบหน้าแลดูมีมิติมากขึ้น และเหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ได้วีเชฟ นอกจากนี้เสริมคางยังเป็นการส่งเสริมบุคลิกภาพได้อีกทางหนึ่งด้วย  ส่วนการเสริมคางผู้ชายส่วนใหญ่ นิยมทำเสริมคางให้ป้านขึ้น เหลี่ยมขึ้น เพื่อให้ดูแมน ไม่นิยมทำแหลมเกินไป อาจจะทำให้ใบหน้าดูหวาน ซึ่งต่างจากการเสริมคางผู้หญิงที่นิยมทำให้ใบหน้าดูเรียว ยาวขึ้น หน้าดูหวานละมุน
 
 
การเสริมคาง มีอยู่ 2 วิธี คือ
1. การฉีดคาง ในส่วนของการฉีดมีทั้งการฉีดเสริมคางด้วยฟิลเลอร์ และไขมัน ซึ่งวิธีนี้เมื่อทำแล้วจะไม่อยู่ถาวร ทั้งไขมันและฟิลเลอร์สามารถสลายไปเองในช่วง 2-3 ปี  แล้วแต่บุคคล หรือในบางรายอาจะต้องฉีดเติมเต็มซ้ำทุก ๆ ปี
2. การผ่าตัดเสริมคาง ซึ่งเป็นการผ่าตัดเล็กที่สามารถเสริมคางได้ด้วยซิลิโคน ได้ผลถาวร ซิลิโคนสามารถจัดรูปทรงได้โดยที่คุณหมอสามารถออกแบบปรับรูปทรงคางร่วมกับคนไข้ตามความต้องการและความเหมาะสมซึ่งการเสริมคางด้วยซิลิโคนนั้นมีความเป็นธรรมชาติมาก แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ การเสริมคางแผลนอก การเสริมคางแผลใน

        ซิลิโคนที่ใช้เสริมคางต้องเป็น “ซิลิโคนทางการแพทย์ (Medical Grade Silicone)” เท่านั้น  เพราะเป็นซิลิโคนที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน

ซึ่งมีอยู่หลัก ๆ 2 แบบ ดังนี้

 1. ซิลิโคนขาสั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเน้นเฉพาะบริเวณปลายคางให้ยาวขึ้น และมีพื้นฐานโครงสร้างคางค่อนข้างดีเป็นทุนเดิม และต้องการปรับสัดส่วนบนใบหน้าให้สมบูรณ์มากขึ้น ใบหน้าดูยาวขึ้น จึงควรใช้ซิลิโคนที่มีลักษณะนิ่ม ปานกลาง

 2. ซิลิโคนขายาว จะมีขาวางโค้งครอบไปบนกระดูกปลายคางเพื่อให้ซิลิโคนอยู่ในองศาเดียวกับกรอบหน้าพอดี ทำให้ไม่เป็นรอยต่อเกิดขึ้นระหว่างแก้ม-คาง  ตัวขาซิลิโคน จะช่วยล็อคไว้ ไม่ให้ห้อยย้อยตกลงมาใต้คาง ครอบล็อคกระดูกคาง ป้องกันคางเบี้ยวเอียง ซิลิโคนขายาว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางตัด คางบุ๋ม คางถอย คางเหลี่ยมมากๆ ตัวซิลิโคนจึงต้อง ครอบคลุมถึงรอยต่อแนวกราม รับกับกรอบหน้า ทำให้รูปหน้าได้สัดส่วนมากขึ้น

            นอกจากลักษณะของซิลิโคนแล้ว ประเภทของซิลิโคนก็มีส่วนทำให้คาง เข้ากับรูปหน้ามากขึ้นได้ด้วย หากเลือกชนิดที่เหมาะสมจะช่วยให้รูปหน้าได้สัดส่วนที่ดี มีมิติ ดูเรียว ดูสวย อย่างสมบูรณ์แบบ

ซึ่งซิลิโคนเสริมคาง มี 2 ประเภท คือ

1. ซิลิโคนเกาหลี (Korean Silicone) มีข้อดีของซิลิโคนประเภทนี้คือ คือ นุ่มทำให้เวลาเสริม ดูเป็นธรรมชาติ  การทำคางด้วยซิลิโคนเกาหลีจะช่วยทำให้คางดู พุ่ง งอนมาด้านหน้า แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นกับเนื้อคางของคนไข้ด้วย

2. ซิลิโคน USA จุดเด่นของการทำคางด้วย ซิลิโคนอเมริกา คือ จะไม่นิ่มมาก เป็นซิลิโคนที่มีมาตรฐานพิเศษ มีค่าความบริสุทธิ์ของซิลิโคนสูงมาก (medical grade silicone) เป็นเกรดทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในวงการศัลยกรรมความงาม เสริมให้คางดูทรงเป็น ธรรมชาติ มีความปลอดภัยต่อร่างกาย มีความยืดหยุ่น เหลาขึ้นรูปได้ง่ายเพื่อให้เข้ากับโครงหน้าของคนไข้แต่ละบุคคล


 

 

------------------------------------------------------------------

 

การเตรียมตัว ก่อนผ่าตัดศัลยกรรมเสริมคาง
       ●     แนะนำว่าควรแจ้งข้อมูลทางด้านสุขภาพ เช่น มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง มีประวัติแพ้ยาหรือไม่
       ●     งดสูบบุหรี่ และแอลกอฮอล์ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
       ●     งด ยาตระกูล แอสไพริน วิตามิน อาหารเสริม เช่นน้ำมันตับปลา ก่อนผ่าตัด อย่างน้อย 1  สัปดาห์
       ●     ปรึกษาคุณหมอก่อนเข้าห้องผ่าตัด เพื่อประเมินรูปทรงคาง ตามที่ต้องการ
       ●     ควรทำความสะอาดร่างกายก่อนเข้ารับการผ่าตัด เช่น ล้างหน้า แปรงฟัน และบ้วนปากให้เรียบร้อย
       ●     ทานอาหารให้พออิ่มก่อนเข้าห้องผ่าตัด ไม่ต้องงดน้ำ งดอาหาร
       ●     ไม่ควรเสริมเสื้อผ้าที่มีโลหะนำไฟฟ้า ควรสวมเสื้อผ้าที่เป็นกระดุมหน้าเพื่อความสะดวกต่อการสวมใส่หลังผ่าตัด

การดูแล หลังผ่าตัดศัลยกรรมเสริมคาง
       ●     หลังจากการผ่าตัดเสริมคาง 1-3 วันแรกสามารถประคบเย็น เพื่อลดอาการบวมช้ำ แล้ววันที่ 4 เปลี่ยนมา ประคบอุ่น
       ●     นอนศีรษะสูงเพื่อลดอาการบวม อย่างน้อย 1 สัปดาห์ หลีกเลี่ยงการนอนตะแคง เพราะอาจจะทำให้เสียรูปทรงได้
       ●     งดอาหารทะเล ของหมักดอง อาหารรสจัด เพื่อหลีกเลี่ยงอาจทำให้แผลอักเสบและติดเชื้อ
       ●     งดสูบบุหรี่ เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ 1 เดือน
       ●     งดออกกำลังกาย อย่างน้อย 1 เดือน
       ●     รับประทานยา ตามที่แพทย์สั่งให้ครบ
       ●     หากรู้สึกปวดมากกว่าปกติ หรือมีข้อสงสัยต่างๆ อย่าปล่อยทิ้งไว้หรือจัดการปัญหาด้วยตนเอง ควรไปปรึกษาแพทย์ทันที

 

 

 

 

 
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้